Skip links
View
Drag

Testimonial

Ngern Tid Lor Joins Force with Apigee and MFEC to Fully Enter the New Digital Platform

Ngern Tid Lor Company is preparing to introduce a new platform model using the Apigee system, which is an API Gateway, a Google’s product that handles various requests before delivering them to the application server. During this collaboration, Ngern Tid Lor Company has also partnered with MFEC Public Company Limited for the consultation, development, as well as setting up a comprehensive computer systems and information network for the new platform development.  Get to Know Ngern Tid Lor Company Ngern Tid Lor Company is a comprehensive loans business that uses vehicle license plates as collateral as well as an insurance brokerage with the most branches in Thailand. While this loans and insurance brokerage are the top business in Thailand, Ngern Tid Lor Company is also a part of MUFG, which is the largest financial institution in Japan and a leading financial institution group in the world as well.  Ngern Tid Lor’s

MFEC

MFEC

Playtorium’s Application on AWS

Playtorium Solutions as a Software Engineering and Business consulting company, provide a full spectrum of digital and IT solutions for customers. Playtorium have a potential, experienced, and committed team to work with customers with the motto “Speed x Quality”  Playtorium Solutions started in Software Quality Control, then registered as a company on December 15, 2016, that operates a full range of IT Solutions businesses including Software Development, Software Testing, Data Information, and Including ready-made software such as Ximpler (Moblie Automation Testing Tools) and Playlivery (food delivery platform).  Playtorium’s Application on AWS  – Online proctored exam by applying online meeting solution from Amazon Chime – Video recognition during exam sessions and Image recognition for authentication by Amazon In the future, Playtorium expects to apply AWS services and features to develop more products in a wider range of areas and business sectors. In accordance with MFEC, AWS solution partner, we provide support, technical consultant, and architecture design consultation for deliver best practice to customers.

MFEC

MFEC

Robinhood จับมือ Google Cloud และ MFEC

สร้าง “Super App” แรกในไทย ปลดล็อกโอกาสในการเติบโตรอบด้านสำหรับทุกฝ่าย  Robinhood ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดส่งอาหารในกรุงเทพฯ และบริการด้านการเดินทางครบวงจรภายใต้ SCBX Group โดยมีบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด เป็นบริษัทในเครือ ได้ประกาศเปิดตัวเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Google Cloud และบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) (“MFEC”) เพื่อขับเคลื่อนภารกิจในการสร้าง “Super App” ของประเทศไทยที่มอบโอกาสในการเติบโตรอบด้านให้แก่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ไรเดอร์ส่งอาหาร รวมถึงผู้ใช้มากมายทั้งในและนอกเมืองใหญ่ Robinhood ปรับใช้นโยบายค่าคอมมิชชัน 0% เพื่อมอบส่วนแบ่งรายได้ที่มากขึ้นให้แก่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและไรเดอร์ ซึ่งจะช่วยลดความยากลำบากทางการเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มในท้องถิ่นพบเจอในช่วงโควิด-19 และสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาคส่วนการท่องเที่ยวในประเทศ โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันรูปแบบธุรกิจของ Robinhood ปรับโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีขององค์กรให้ทันสมัย ยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วยระบบอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และร่วมกันสร้างบริการดิจิทัลใหม่ต่อไป คุณธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (Robinhood) กล่าวว่า “รูปแบบธุรกิจที่แตกต่างของ Robinhood ช่วยให้เราสามารถสร้างรายได้จากบริการอิสระอื่นๆ เช่น การให้สินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาในระบบนิเวศของเรา แทนที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มจากเจ้าของโรงแรมและร้านอาหารขนาดเล็กซึ่งเป็นการตัดรายได้ของผู้ให้บริการเหล่านี้ การมีไรเดอร์ 30,000 รายที่รองรับร้านอาหาร 225,000 แห่งและโรงแรมอีก 16,000 แห่งอยู่ในแพลตฟอร์มทำให้ Robinhood กลายเป็นแอปพลิเคชันอาหารและการเดินทางที่ผู้ใช้ 2.8 ล้านรายเลือกใช้ เราร่วมมือกับ Google Cloud และ MFEC โดยหวังว่าจะต่อยอดผลตอบรับที่เพิ่มมากขึ้นบนแพลตฟอร์มของเราใน 20 เดือนที่ผ่านมา และเร่งขยายบริการสู่แวดวงการทัวร์ การเช่ารถ และการจองเที่ยวบิน รวมถึงบริการจัดส่งของชำและพัสดุด่วน โดย Super App ตอบสนองความมุ่งมั่นตั้งใจของเราที่จะสนับสนุนผู้ให้บริการขนาดเล็กและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า” คุณสีหนาท ล่ำซำ CEO ของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์สจำกัด (Robinhood) กล่าวว่า “Robinhood เป็นแพลตฟอร์มที่ดำเนินการบนระบบคลาวด์มาโดยตลอด ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่เราเริ่มเห็นความต้องการบริการของเราเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ก็เป็นที่แน่ชัดว่าเราต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อช่วยให้เราเติบโตในแนวทางที่ประหยัดค่าใช้จ่ายและยั่งยืน เราเลือก Google เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์สำหรับข้อมูลที่เหนือกว่า ซึ่งปราศจากการปล่อยก๊าซระหว่างดำเนินการ และมีประสบการณ์มากมายในการเชื่อมโยงโลกเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในการสร้างแพลตฟอร์มและระบบนิเวศแบบเปิดกว้าง ความสามารถเหล่านี้บวกกับความเชี่ยวชาญด้านการใช้งานและการให้คำปรึกษาทางเทคนิคของ MFEC จะยกระดับความสามารถของเราในการสร้างคุณค่าให้กับสังคมไปพร้อมๆ กับการมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อความยั่งยืน” โดยพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จะยึดพื้นฐานหลัก 5 ประการดังนี้ 1. การพัฒนาผู้ที่มีทักษะและวัฒนธรรมที่นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม: Robinhood, Google Cloud และ MFEC จะสร้างศูนย์ส่งเสริมการใช้งานระบบคลาวด์ (CCoE) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมระบบคลาวด์ การจัดการข้อมูล และการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ทันสมัยเพื่อส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมที่คล่องตัวในหน่วยธุรกิจของ Robinhood และเร่งสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ พนักงานของ Robinhood จะได้ประโยชน์จากโปรแกรมการรับรองและการเพิ่มทักษะเฉพาะของ CCoE ซึ่งใช้หลักสูตรเดียวกันกับที่ Google ใช้เพื่อฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีของตนเอง พนักงานเหล่านี้จึงมีความรู้ความสามารถเพียบพร้อมในการจัดการการติดตั้งใช้งานระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ รวมถึงใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก 2. การปรับปรุงคุณภาพของบริการดิจิทัล: การย้ายระบบลงในโครงสร้างพื้นฐานแบบคาร์บอนสมดุลที่รองรับการปรับขนาด ปลอดภัย และเปิดกว้างของ Google Cloud ทำให้ Robinhood สามารถให้บริการในระบบนิเวศของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและลดรอยเท้าคาร์บอนของภาระงานในทีมไอที จากนั้น CCoE จะใช้ประโยชน์จาก Microservices และการสนับสนุน Google Play Store ที่ขยายความครอบคลุม เพื่อให้แอปพลิเคชันของลูกค้าและไรเดอร์ของ Robinhood ยังคงมีประสิทธิภาพ เสถียร และใช้งานง่าย แม้ว่าจะมีการเพิ่มบริการใหม่ๆ และมีผู้ใช้ในปริมาณมากก็ตาม 3. การมีส่วนร่วมที่เจาะจงมากขึ้นของผู้ใช้: CCoE จะสร้างและจัดการเครื่องมือสำหรับข้อมูลอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยี ML,

MFEC

MFEC

Possefy Group x MFEC

Possefy Group CO., LTD., is an OPPO Authorized Exclusive Distributor operating in more than 140 countries around the world. Possefy Group in Thailand was founded in 2009. Possefy needed to build connectivity between their company’s system in Thailand and factories abroad, providing billing reports tailored for each factory across the countries. After migrating to AWS, Possefy was able to save time and heavy-lifting for the IT Teams, enjoyed better speed and performance, and was able to manage billing operations with ease. MFEC provided consultation services and support to the customer in their digital transformation journey by migrating to AWS cloud. As a result, the Possefy team can rely on the five pillars of AWS – Operational Excellence, Security, Reliability, Performance Efficiency, and Cost Optimization, most effectively. The company has scheme to develop connectivity between company’s system in Thailand and foreign factories which cause us to require scalable infrastructure system, and Possefy Group

MFEC

MFEC

MFEC พัฒนาระบบ LINE API

MFEC ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบ LINE API ที่เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่าง LINE Platform กับ Legacy System ของธนาคาร เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานจากลูกค้าของธนาคารจำนวนมาก ให้สามารถเข้ามาใช้บริการของธนาคารในการติดต่อและขอทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น ขอดูยอดเงินในบัญชีหรือบัตรเครดิตที่ผูกบริการไว้ได้ หรือการรับข้อมูลข่าวสาร หรือข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของทางธนาคารได้  โดยการพัฒนาระบบในครั้งนี้ MFEC ได้ใช้ LIFF (LINE Front-End Framework) พัฒนาในส่วนของหน้าบ้าน (Web View) ด้วยภาษา Vue.js และใช้ Spring Boot Framework พัฒนาในส่วนของหลังบ้าน (API Services) ด้วยภาษา Java โดยทำงานอยู่บน Container Platform และในส่วนของ Automate Tools ใช้ Jenkin ในการทำ Pipeline สำหรับกระบวนการทำ CI / CD (Continuous Integration / Continuous Delivery) ทำให้การพัฒนาระบบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย   คุณปัญญา พรขจรกิจกุล Business Unit Director ฝ่าย Digital Delivery จาก MFEC กล่าวว่า “ทันทีที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา เราก็รีบส่งทีม Fast Adoption of Solution and Technology (FAST) ซึ่งเป็นทีมที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการพัฒนาระบบแอปพลิเคชันไปให้บริการทันที โดยตอนนั้นเองเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาด ทีมงานตอนนั้นจึงต้องทำงานแบบ Work from Home แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดอุปสรรคแต่อย่างใดจนกระทั่งส่งมอบงานให้ลูกค้าได้สำเร็จและตรงเวลา”   คุณอนุชาติ อัศววิวัฒน์พงศ์   Business Unit Manager ฝ่าย Digital Delivery จาก MFEC กล่าวว่า “ในช่วงที่เราต้องพัฒนาระบบ LINE API ตอนนั้นเป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างที่ทุกคนในทีมต้อง Work from Home ถือเป็นความท้าทายมาก ทีมงานจึงต้องมีการสื่อสารกันมากขึ้น โดยในแต่ละวันทางทีมจะมีการ Scrum งานทุกเช้าและเย็นเพื่อเป็นการอัปเดตกันสม่ำเสมอว่าใครกำลังทำอะไรอยู่บ้าง ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว หรือใครติดปัญหาอะไรหรือเปล่า เพื่อให้รู้สถานะของแต่ละคน และพยายามสื่อสารกับลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในภายหลัง และในที่สุดเราก็สามารถส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”   MFEC มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคนเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้พนักงานสามารถรับมือและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสภาวะวิกฤต อีกทั้งยังมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการและช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับลูกค้า MFEC พร้อมอยู่เคียงข้างและให้บริการไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางวิกฤตใด  

MFEC

MFEC

“Automation Challenge” 
เวทีประลองไอเดียสู่การสร้างสรรค์ไอทีที่มีคุณค่า

พบกับกิจกรรม “Automation Challenge” กิจกรรมแรกภายใต้แคมเปญ “M Ground” เปิดเวทีให้พนักงาน MFEC ได้เข้ามาประลองไอเดียสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่มีคุณค่า และช่วยกันค้นหาวิธีการทำงานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกท่าน โดยเจ้าภาพแรกเป็นพนักงานของ MFEC ที่นั่งทำงาน On Site งานนี้พนักงาน MFEC ต่างก็ฟอร์มทีมเตรียมความพร้อมเพื่อลงแข่งขัน “Automation Challenge” กันอย่างคึกคัก และนอกจากการรวมทีมกันเองของพนักงาน MFEC แล้ว ยังมีเพื่อนๆ จากต่างบริษัทเข้ามาร่วมทีมลงแข่งขันด้วยเช่นกัน หลังจากที่พนักงานฟอร์มทีมกันเกิดขึ้น MFEC ก็ได้ผู้เข้าแข่งขันในกิจกรรม “Automation Challenge” ถึง 15 ทีมด้วยกัน โดยในรอบ Pitching Day นี้ผู้เข้าแข่งขันทุกทีมต่างก็ได้นำเสนอไอเดียสุดสร้างสรรค์กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ด้วยใจที่อยากจะพัฒนา Solution ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า สร้างความหนักอกหนักใจให้กับเหล่าคณะกรรมการกันยกใหญ่ และในวันนั้นเองหลังจากที่ผู้เข้าแข่งขันได้รับฟังข้อเสนอแนะและคำแนะนำเพิ่มเติมจากเหล่าคณะกรรมการก็เกิดปรากฎการณ์การรวมทีมและร่วมมือกันเกิดขึ้น การแข่งขันในครั้งนี้ทำให้เรามองเห็นแล้วว่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดไม่ได้เข้ามาแข่งขันเพื่อคาดหวังชัยชนะสู่ตนเอง แต่เป็นการแข่งขันเพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง จากการรวมทีมกันเมื่อรอบ Pitching Day ทำให้ในรอบ Demo Day นี้เหลือผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 11 ทีมด้วยกัน แต่ละทีมได้นำคำแนะนำจากคณะกรรมการไปปรับใช้ในไอเดียของทีมตนเองกันอย่างเข้มข้น จนได้มาซึ่ง Solution ที่ดีที่สุดของแต่ละทีม ท้ายที่สุด MFEC ก็ได้ผู้ชนะในกิจกรรม “Automation Challenge” เป็นที่เรียบร้อย ด้วย DNA เดียวกันของพนักงานทุกคนจากคำว่า “Always Exceed Expectations” ทำให้ทุกคนต่างรับรู้ดีว่าความสำเร็จของการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ใช่การได้รับชัยชนะหรือรางวัลสูงสุด แต่เป็นการที่ทุกคนได้มองเห็นเป้าหมาย และสามารถสร้างคุณค่าให้กับทุกงานที่ได้ทำ และด้วยใจที่อยากจะพัฒนา Solution ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในครั้งนี้นับเป็นความสำเร็จที่แท้จริงของทุกคน งานนี้ได้รับเกียรติจากคุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร (CEO, MFEC) เข้ามาร่วมพูดคุยและมอบรางวัลให้กับผู้เข้าแข่งขันซึ่งนอกจากจะเป็นพนักงานจาก MFEC เองแล้วก็ยังมีเพื่อนนักงานจากบริษัทอื่นเข้ามาร่วมทีมกันอีกด้วย เรียกได้ว่านอกจากกิจกรรมจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าแข่งขันได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง ได้ส่งมอบ Solution ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าแล้ว ยังทำให้ทุกคนได้รับมิตรภาพใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

MFEC

MFEC

MFEC ร่วมกับ Cisco ผลักดัน Digital-First Strategy 
ด้วย Full-Stack Observability Solution

แม้คำว่า Digital Transformation จะได้รับการพูดถึงมายาวนาน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่เริ่มลงมือนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจของตนเอง จนก้าวล้ำหน้าและยืนหยัดท่ามกลางสมรภูมิแห่งความไม่แน่นอน จนเมื่อทุกธุรกิจได้รับผลกระทบจากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด หรือว่ากำลังมีความต้องการพัฒนาองค์กร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนี้จึงทำให้คำว่า Digital Transformation ได้รับการพูดถึงอย่างมากอีกครั้ง และหลายบริษัทต่างเห็นพ้องต้องกันว่า นี่คือเวลาของความท้าทาย ที่ต้องเร่งปรับตัวเปลี่ยนแปลงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนธุรกิจอย่างจริงจังเสียที คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ในการทำ Digital-First Strategy ให้ทั้งองค์กรตนเองและกลุ่มลูกค้า ได้คอยเน้นย้ำเสมอถึงความสำคัญของการTransformation ว่าการเตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลงที่ดี ต้องมีทีมงานที่ถูกต้อง มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน แล้วจึงเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาช่วยเสริมให้การ Transform นั้นสำเร็จ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MFEC พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพราะต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสการแข่งขันในตลาดให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น การปรับองค์กรโดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ไขกระบวนการธุรกิจ (Business Process) จะช่วยเสริมประสบการณ์ให้กับผู้ใช้และลูกค้า และยังช่วยให้การปรับการทำงานของพนักงาน (Workforce) ให้ต้นทุนต่ำลง เพื่อสามารถสร้างธุรกิจใหม่ หรือแพลตฟอร์มใหม่ในการต่อยอด ขยายไปยังธุรกิจอื่นต่อไปได้อีก แม้แต่ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Cisco เองก็ตระหนัก และมุ่งเน้นการทำ Digital Transformation อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน คุณทวีวัฒน์ จันทรเสโน กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย ได้แสดงความเห็นว่า ผลกระทบของวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้การดำเนินธุรกิจของแทบทุกองค์กรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การศึกษานำเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาเพิ่ม เพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน และดำเนินธุรกิจ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจสังเกตเห็นได้ว่าในช่วงวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา การพัฒนาของเทคโนโลยี และการนำเอาเทคโนโลยีไปใช้งาน จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นมาก องค์กรใดที่มีเทคโนโลยีที่พร้อม มีความรวดเร็วในการตัดสินใจ และมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ พนักงานก็สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล และรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เช่นทาง Cisco เองที่มีเทคโนโลยีต่างๆ ให้สามารถทำงานในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากบ้าน 100% หรือทำงานแบบผสม (Hybrid) โดยมี WebEx ช่วยให้พนักงานสามารถสื่อสารกันหลากหลายรูปแบบ ทั้งการแชร์ไฟล์ และข้อความ แบบส่วนตัวและกลุ่ม รองรับการทำประชุมผ่าน Video Conferencing ทั้งส่วนตัวและจากห้องประชุม มีระบบ Security เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล เพื่อความมั่นใจของผู้ใช้ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นระบบพื้นฐานที่ทาง Cisco มีให้ทุกคนอยู่ก่อนที่จะเกิด COVID-19 ดังนั้นจึงไม่ต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงมากนัก ทุกคนสามารถขอระบบ CVO (Cisco Virtual Office) เพื่อทำงานที่บ้านได้ การเปลี่ยนแปลงของบริษัท Cisco มีอยู่ตลอดเวลา รวมถึงทางด้านผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้น มาถึงทุกวันนี้ Cisco ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบริษัทซอฟท์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว หนึ่งในซอฟท์แวร์ที่ MFEC และ Cisco มีวิสัยทัศน์ในการทำงานร่วมกันคือโซลูชัน Full-Stack Observability ที่สามารถตอบโจทย์ขององค์กรคือต้องมีเครื่องมือที่ช่วยทั้งการพัฒนา ตรวจสอบ สเกล ตลอดจนดีไซน์แอปพลิเคชันอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทีมงานที่เคยแยกกันทำงานหลายๆ ทีม ทั้ง AppOps, InfraOps, NetOps และ SecOps สามารถมีเครื่องมือในการติดตามตรวจสอบและวิเคราะห์การทำงานของแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อน ทั้งระบบโครงสร้างของโปรแกรม การกระจายตัวของแอปพลิเคชันที่อยู่หลายระบบ Cloud การมี Security ที่ต้องดูแลหลายระดับ การมี

MFEC

MFEC

SMART LIFE – SMART METRO ชีวิตการเดินทางที่ไร้น้ำมัน

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ได้จัดพิธีลงนาม MOU ด้วยความร่วมมือระหว่างบริษัท พลังงานมหานคร, การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และพันธมิตรทางธุรกิจ จัดตั้ง “โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า” ภายใต้ชื่อ “EA Anywhere” นวัตกรรมใหม่ ที่จะเปลี่ยนแปลงการคมนาคมในประเทศไทยในอนาคต จากกระแสทั่วโลกที่ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหามลพิษที่ปล่อยมาจากยานพาหนะที่ใช้น้ำมัน  ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศสที่ตั้งเป้าห้ามขายรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2040 หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษ วางแผนเตรียมเก็บภาษีมลภาวะจากรถยนต์ และประเทศไทยเองก็ให้ความสนใจที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะทางอากาศ โดยเริ่มต้นติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA  Anywhere เบื้องต้นตั้งเป้าหมายติดตั้งจุดบริการทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,000 สถานี ภายในปี 2561 ด้วยงบลงทุนรวม 600 ล้านบาท โดยสถานีอัดประจุไฟฟ้า EA  Anywhere นี้ เกิดขึ้นจริงอย่างสมบูรณ์แบบและพร้อมให้บริการแล้ว ที่อาคารจอดรถ Siam Paragon ชั้น GA NORTH และ Siam Car Park ชั้น GB รองรับการชาร์จได้พร้อมกันถึง 6 คัน ใช้ได้ทั้งรถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริดจ์ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) และประเภทแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) ตัวสถานีถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย และมีความปลอดภัยสูง ที่สำคัญสามารถใช้บริการชาร์จไฟฟ้าได้ฟรีไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 และขยายต่อเนื่องไปยังพื้นที่ของพันธมิตร เร็ว ๆ นี้

MFEC

MFEC

พระอินทร์ฟินเทคกับการใช้ Robotic Process Automation

บริการรับชำระเงินนับเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุค COVID-19 จากการทำธุรกรรมออนไลน์ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ธุรกรรมที่ซื้อขายสินค้าหน้าร้านเช่นเดิมก็นิยมจ่ายเงินในช่องทางดิจิทัลกันมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงการสัมผัสเงินสด พระอินทร์ฟินเทคเป็นบริษัทฟินเทคหนึ่งที่ให้บริการร้านค้าให้สามารถรับชำระจากหลากหลายช่องทาง ทั้งอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง, บัตรเครดิต, หรือช่องทาง Thai QR Payment ในชื่อบริการ ChillPay ในยุคที่ธุรกิจต้องเดินหน้าไปด้วยความเร็วสูง จุดเด่นของ ChillPay คือการโอนเงินเข้าสู่ร้านค้าภายในหนึ่งวันทำการไม่ว่าลูกค้าจะชำระจากช่องทางใดก็ตาม ความเร็วเช่นนี้ต้องการการตรวจสอบที่รอบคอบพร้อมๆ กับการทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบเพื่อให้การชำระเงินถูกต้องครบถ้วนไปพร้อมกับรวดเร็วตรงเวลา ทางพระอินทร์ฟินเทคอาศัย Robotic Process Automation (RPA) เพื่อลดระยะเวลาทำงานซ้ำซ้อน เปิดทางให้เจ้าหน้าที่มีเวลาสอบทานความถูกต้องของธุรกรรมแทนที่จะเสียเวลาไปกับการคำนวณค่าและกรอกข้อมูลต่างๆ ด้วยตัวเอง แม้ว่าธุรกรรมจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม ผู้ค้าที่เป็นลูกค้าของ ChillPay มีการใช้บริการช่องทางชำระเงินหรือ Payment Channel ที่ตอบทุก Segment ของลูกค้า เช่นกลุ่มนักธุรกิจที่ชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์ ถือเป็นกลุ่มที่ไม่มีบัตรเครดิตแต่สามารถชำระเงินออนไลน์ผ่านทางตู้บุญเติม หรือเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อที่รองรับการจ่ายเงินสด เป็นต้น การใช้ช่องทางรับเงินที่หลากหลายทำให้ RPA เข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ สามารถปรับตัวเข้ากับบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทุกช่องทาง คุณเพิ่มบุญ เอี่ยมสุภาษิต ผู้ก่อตั้งพระอินทร์ฟินเทคกล่าวถึงการใช้งาน RPA  “บริการ Payment Gateway ของ ChillPay มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรจำนวนมาก หลายบริการไม่ได้เปิด API อย่างเป็นทางการ ทำให้เดิมเราต้องอาศัยเจ้าหน้าที่มาดึงข้อมูลจากระบบภายใน คำนวณและตรวจสอบความถูกต้อง แล้วกรอกข้อมูลไปยังระบบภายนอกจำนวนมาก การใช้ RPA ทำให้กระบวนการเหล่านี้เป็นอัตโนมัติทั้งหมด เจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานในตอนเช้าแล้วสามารถดูรายงานที่สร้างโดย RPA เพื่อยืนยันความถูกต้อง แล้วตรวจทานว่ากรอกข้อมูลไปยังระบบคู่ค้าถูกต้องหรือไม่ กระบวนการนี้ใช้เวลาน้อยลงมาก จากเดิมใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงวันละไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น” คุณธัญกมล ปิ่นทอง Financial and Budget Control Director ระบุว่า “การใช้งาน RPA นับเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ Digital Transformation ขององค์กร องค์กรจำนวนมากไม่สามารถรอการสร้างระบบไอทีใหม่ๆ เพื่อให้ process ในธุรกิจกลายเป็นระบบอัตโนมัติได้ การใช้ RPA ที่ประสิทธิภาพสูงและใช้งานง่ายอย่าง UiPath เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทางธุรกิจสามารถปรับการทำงานของตัวเองเป็นการทำงานอัตโนมัติได้ทันที ทำให้เราลงทุนกับ UiPath เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสนับสนุนองค์กรที่ต้องการทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่การทำงานอย่างอัตโนมัติเต็มรูปแบบทุกส่วนขององค์กร” คุณธเนศ เชี่ยวชาญลิขิต Business Services Management Manager ระบุว่า “UiPATH นับเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ RPA ขั้นนำของโลกที่ MFEC ซัพพอร์ตอย่างต่อเนื่อง จนได้ Gold Partner ในปี 2020 ที่ผ่านมาและเราเชื่อว่า UiPath จะสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งองค์กรในระยะยาวได้ต่อไป” สนใจรับคำปรึกษาการปรับองค์กรไปสู่การทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบติดต่อ email : ps-bsm@mfec.co.th  หรือ scan QR code ผ่านช่องทาง LINE OA

MFEC

MFEC

The New Lifestyle Banking ยกระดับความ Cool ด้วย SCB EASY

นาทีนี้คงหนีไม่พ้นความฮอตของฟังก์ชั่น “กดเงินไม่ใช้บัตร” จากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่สามารถยึดครองพื้นที่สื่อทั่วฟ้าเมืองไทยกับการเปิดตัวสุดอลังการของโมบายแบงก์กิ้งแอปพลิเคชัน SCB EASY ที่ยกระดับความคูลเป็นเวอร์ชั่น 3.0 รองรับทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง กับการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท พัฒนา Digital Platform แอปพลิเคชัน SCB EASY ที่ #เป็นทุกอย่างเพื่อคุณ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด อาทิ Data Analytics Stack,  API Gateway และ Microservices Architecture ฯลฯ เพื่อระบบที่มีความปลอดภัยสูงสุด รองรับการเติบโตของผู้ใช้ ตลอดจนความเสถียรในการให้บริการ พร้อมก้าวขึ้นเป็น ผู้นำด้านดิจิทัลแบงกิ้งอันดับ 1 ของประเทศ และตั้งเป้าจำนวนลูกค้าผู้ใช้แอปพลิเคชันกว่า 8 ล้านราย จากปัจจุบัน 4 ล้านราย รวมถึงฟีเจอร์เด็ดที่สื่อต่างๆ พูดถึงใน แอปพลิเคชัน SCB EASY อาทิ Cardless ATM สามารถกดเงินสดได้โดยไม่ต้องใช้บัตร Easy App Protection ที่นอกจากระบบความปลอดภัยบนแอปพลิเคชัน ไทยพาณิชย์ยังสร้างความมั่นใจด้วยการคุ้มครองความเสียหายวงเงินสูงสุด 1 แสนบาท คุณธนา เธียรอัจฉริยะ รักษาการ Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังกล่าวในงานถึงการเปิดตัวแอปพลิเคชัน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560 ว่า “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนี้จะยังมีฟีเจอร์ใหม่และความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจในการนำเสนอบริการอื่น เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยสถาปัตยกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ของเราจะทำให้เราสามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว” Why Microservices Architecture? ตลอดระยะเวลา 10 เดือนกับความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีระดับแนวหน้ามาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน SCB EASY โฉมใหม่ในครั้งนี้ คุณธนา โพธิกำจร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน Digital Banking ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกสถาปัตยกรรม  Microservices Architecture  เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ดังกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่ดีระดับประเทศ แต่ดีที่สุดในโลก ด้วยโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่จะแยกระบบบริการต่างๆ เป็นส่วนๆ เพื่อรองรับการขยายบริการที่สามารถเพิ่มเติมฟังก์ชั่นได้อย่างเป็นอิสระและไม่ซับซ้อน สามารถเลือกปรับปรุงเฉพาะส่วน ไม่ต้องมารวมทุกอย่างไว้ที่ศูนย์กลางเดียวเหมือนอย่างที่ผ่านมา” ทั้งนี้ ไทยพาณิชย์ย้ำชัดว่า การพัฒนาโมบายแบงก์กิ้งแอปพลิเคชัน SCB EASY ในครั้งนี้ เป็นเพียงก้าวแรกของการให้บริการทางการเงินที่ช่วยยกระดับภาพรวมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการเงินธนาคารของประเทศให้ทันต่อการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่คู่แข่งขันในตลาดไม่ใช่แค่ธนาคารด้วยกันเองอีกต่อไป ท้ายที่สุด MFEC ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในทีมพัฒนาแอปพลิเคชัน SCB EASY และยังเป็นบริษัทพาร์ทเนอร์ของธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยความสัมพันธ์อันยาวนานและอยู่เคียงข้างในทุกย่างก้าวแห่งความสำเร็จ ขอแสดงความยินดีกับเสียงตอบรับที่ดีจากการเปิดตัวแอปพลิเคชัน SCB EASY ด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อมุ่งสู่การเป็น The Most Admired Bank

MFEC

MFEC