หากยังจำกันได้ เมื่อปีที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์หนึ่งในโลกโซเชียลที่เรียกว่า “Clickbait” (คลิ๊กเบท)ซึ่ งนั่นถือเป็นจุดก่อเกิดการพาดหัวที่สุดจะยั่วเย้าให้เกิดการคลิ๊กเข้าไปอ่านสูงแต่ตรงกันข้ามกระแสในแง่ลบก็มีมากทบทวี เพราะดันมีบางเว็บไซต์ทำ “Clickbait” โดยนำเสนอข้อมูลจากการลอกข่าวของสื่อหลัก จนเกิดเป็นเรื่องฟ้องร้องกันภายในแวดวงสื่อ Online
เวลานั้น นัท-ณัฐวุฒิ อุตราภิรมย์สุข ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วาไรตี้อย่าง Boxza.com กลับได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เต็มๆ เพราะถูกหางเลขไปด้วยในทุกๆ ครั้งที่เกิดดราม่าด้วยเหตุผลที่ว่ารูปแบบการทำข่าวและชื่อเว็บไซต์ใกล้เคียง แต่ทว่าเวลาผ่านไปหลายต่อหลายเว็บไซต์ที่ทำ “Clickbait” ถูกฟ้องล้มหายตายจาก หรือ ถูก แบนไปกับกาลเวลาและความผิด แต่ทว่า Boxza.com ยังคงอยู่เป็นตัวจริงได้อย่างมั่นคง และแน่นอนวิกฤตหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาทำให้ Boxza.com ต้องผ่านเปลี่ยนสู่สิ่งใหม่ในชื่อ Jarm.com เว็บไซต์ที่มีจุดหมายวางไว้ว่าจะต้องเป็นอันดับหนึ่งให้ได้ และนั่นทำให้ นัท-ณัฐวุฒิ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าสนใจไม่แพ้ใคร นำพาให้เราอยากไปทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้เหลือเกิน…
“คือหลายๆ คนเห็นผมมาทำงานเรื่องโซเชียล เรื่องเว็บไซต์ แต่จริงๆ แล้วผมเรียนจบมนุษย์ศาสตร์ภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยหอการค้าซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวโปรแกรมมิ่งหรือเว็บไซต์อะไรเลย แต่ส่วนตัวผมเป็นคนชอบเทคโนโลยีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วประกอบกับตอนนั้นเพื่อนๆ ทำงานอยู่ในเว็บไซต์ใหญ่ๆ หลายคน ก็ได้มานั่งคุยกันว่าชีวิตเราอยากจะเป็นลูกน้องเขาตลอดชีวิตหรือ ก็เลยมาลงหุ้นกันทำเรื่องของการรับออกแบบเว็บไซต์ตอนนั้นก็น่าจะ 10 กว่าปี แล้ว ตอนนั้นก็อายุ 24 ก็ไปได้ดีนะค่อยๆ ไต่เต้ามาเรื่อยๆ ลูกค้าเรามีตั้งแต่หน่วยงานราชการจนไปถึงหน่วยงานเอกชนใหญ่ๆ ชั้นนำที่เรารู้จักกันดี
“พอเราเริ่มเบื่อ ความท้าทายเริ่มหมด กับการทำเว็บดีเวลอปเมนท์ เราก็อยากทำเว็บของตัวเองก็เลยเกิดเป็น Boxza.com เว็บไซต์วาไรตี้ ซึ่งตอนนั้นน่าจะเริ่มทำในปี 2012 ซึ่งเน้นข่าวบันเทิงที่น่าสนใจในโซเชียล เราก็ไต่เต้ามาเรื่อยๆ จนตอนนี้ได้ขึ้นเป็น Top 3 ของประเทศ ในหมวดบันเทิง ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ โดยใช้เวลาไม่นานเพราะด้วยความที่เรามีประสบการณ์จากการทำเว็บมาเยอะเราก็รู้ว่าอะไรที่มันตรงใจกลุ่มเป้าหมาย แล้วเราก็จะมีในเรื่องของการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คที่แข็งแกร่ง เรามีแฟนเพจในเครือข่ายกว่า 20 แฟนเพจ เรามียอดไลค์รวมกันทั้งหมดประมาณ 20 กว่าล้านไลค์ คือเราตั้งใจปั้นแฟนเพจมาเพื่อผลักดันเว็บไซต์ แล้วตัวสเตทของเว็บไซต์ ซึ่งในปัจจุบันสถิติการเยี่ยมชมอยู่ที่วันละ 3-5 ล้าน เพจวิวต่อวัน”
ดูจากหลักการทำเว็บไซต์แล้ว น่าสนใจเหลือเกินว่าเพียงระยะเวลาไม่นานผู้บริหารรูปหล่ออย่างคุณนัทได้สร้างปรากฏการณ์บางอย่างให้เกิดขึ้นจากการเล็งเห็นพลังที่แข็งแกร่งในเครื่องมือที่ชื่อว่าเฟสบุ๊ค จากการที่มี ทีม เว็บดีเวลอปเมนท์ ที่แข็งแกร่งประสบการณ์ที่ช่ำชอง ได้ทำการ ทดลองทดสอบ โปรดักส์ใหม่ๆ ของ เฟสบุ๊ค อย่างรวดเร็ว อย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ เฟสบุ๊คเองหันมาให้ความสนใจ และเข้ามาติดต่อ ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ และได้ส่งทีมงาน จากต่างประเทศมาเยี่ยมเยียนที่บริษัทอยู่บ่อยๆ ซึ่งทุกครั้ง ที่ เฟสบุ๊ค จะทำการเปิดตัวโปรดักส์ใหม่ ก็จะให้ ทีม จามดอทคอม ได้ทำการทดสอบ ทดลองก่อน เพื่อช่วยหา ฟีดแบคข้อดีข้อด้อย และด้วยความที่ เป็นคนหนุ่ม วิสัยทัศน์ ในเรื่องของการก้าวนำคู่แข่งในเรื่องของเทคโนโลยี นั้นเป็นสิ่งสำคัญ เรียกได้ว่า ก้าวก่อนได้เปรียบ ยกตัวอย่างล่าสุดคงเป็นตัวบทความทันใจ รูปสายฟ้าที่เรียกว่า Instant Article” ซึ่งหลายๆ คนคงได้เห็นผ่านตากันมาแล้วบ้าง เรียกได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการปรับเนื้อหาให้ดูทันสมัยและเข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ก็ว่าได้
ด้วยเหตุผลที่ก้าวก่อนเสมอในโลกโซเชียล ทำให้หลายเว็บไซต์อื่นๆ ใช้รูปแบบการทำข่าวลักษณะเดียวกัน จนทำให้เกิดประเด็นดราม่าอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น นั่นจึงทำให้เมื่อไม่นานมานี้คุณนัทจึงตัดสินใจครั้งใหญ่เปลี่ยนชื่อ Boxza.com เป็น Jarm.com ซึ่งยังคงแน่นด้วยเนื้อหาแบบวาไรตี้เช่นเดิมแต่เพิ่มเติ่มคือวิธีทำคอนเทนท์ที่เอ็กซ์คลูซีฟขึ้น และจากการสอบถามชื่อเว็บไซต์ใหม่นั้นมีความหมายมาจากกริยาการไอจาม ซึ่งเมื่อเวลาได้จามออกมาจะเหมือนการปลดปล่อยความฟินบางอย่างออกไปด้วยความรวดเร็ว คล้ายกับปฏิกิริยาของโลกออนไลน์ในปัจจุบัน
“คนมักจะเข้าใจผิดตลอดว่า เว็บ Jarm.com ของเรานั้น เป็นเว็บเล็กๆ วันๆ ลอกข่าว เว็บไซต์อื่นๆมาในลักษณะ Copy & Paste สร้างข่าวสาร วันละ 3-400 ข่าว ในแต่ละวัน โดยใช้ทีมงาน 4-5 คน แต่จริงๆ แล้ว เราเป็นทีมงานที่ค่อนข้างใหญ่ มีพนักงานประจำ ร่วม 60 คนแล้วในปัจจุบัน เรามีทั้ง ช่างภาพ นักข่าว กองโปรดักชั่น ตัดต่อ กราฟฟิค โปรแกรมเมอร์ พนักงานขาย บัญชี ฯลฯ จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการ ซื้อลิขสิทธิ์ภาพข่าว ภาพประกอบบทความ ต่างๆ จากต่างประเทศ และยังเป็น Partner กับ Facebook, Google, สำนักข่าว, รายการทีวี และช่องต่างๆ ซึ่งพอเวลาเกิดดราม่าเรื่องการลอกข่าวมาเขียนของเว็บข่าวบนโซเชียล คนไม่ได้สนใจหรอกว่าเราเป็นแบบไหน แต่ก็จะเหมารวมไปแล้วด้วยความที่ชื่อใกล้เคียงกันหรือนำเสนอข่าวแบบเดียวกัน ก็จะถูกโจมตีแบบนั้นมาตลอดเราก็พยายามไม่คิดอะไร จนได้มีการฟ้องร้องต่างๆ นานาๆ หรือ ถูก แบนจาก Ads Network ซึ่งถือว่าเป็นรายได้หลักของเว็บเหล่านี้ เนื่องจากผิด Policy ด้วยการ Copy หรือ Duplicate บทความ เว็บไซต์ที่อยู่บนความไม่ถูกต้องก็ได้เริ่มล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา แต่เว็บเราก็ยังคงยืนอยู่บนความถูกต้องมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเราทำแบบที่คนอื่นทำเราก็ถูกฟ้องถูกแบนไปนานแล้ว แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปคนก็จำภาพเราในแบบนั้นอยู่ ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เลยดีกว่าหลังจากทำมันมา 4 ปี”
“แล้วพอเราเปลี่ยนมาเป็น Jarm.com เราเองก็ยิ่งต้องสร้างชื่อให้มันดีกว่าเดิม เราก็ยังคงทำงานกันแบบมีทุกอย่างฟูลทีมเหมือนเดิม แต่รอบนี้เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์แต่เราเริ่มจากสิ่งที่เรามี ยังคงทำข่าวที่มีความรวดเร็ว ถามว่าเสียดายไหมก็เสียดายแต่ผมว่าแบบนี้ผมแฮปปี้กว่า เวลาใครทำผิดมาจะได้ไม่ต้องมาคิดว่าเป็นเรา เวลาเราทำผิดก็จะได้ต่อว่าถูกคน”
หลังคำพูดเจ้าตัวหัวเราะร่า เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้ที่ผ่านมาซึ่งก็คงไม่ง่ายดายเสียทีเดียวที่จะทิ้งมัน แต่เพื่อความสบายใจการยอมในครั้งนี้ก็อาจเป็นบันไดให้ผู้บริหารหนุ่มคนนี้ได้ก้าวไปถึงสิ่งที่ตัวเองหวัง
“สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือเราอยากให้ผู้คนจดจำเราในแบบใหม่ ซึ่งผมเองเมื่อก่อนก็ไม่ได้เคยออกมาพูด แต่หลังจากนี้ก็จะพยายามออกสื่อให้มากขึ้น คือเป้าหมายในวันนี้ของผมยังเหมือนเดิมผมยังคงต้องการที่จะเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของประเทศอยู่ ไม่ได้หมายรวมแค่ข่าวบันเทิงนะผมตั้งใจเลยว่าจะเป็นเว็บข่าวอันดับหนึ่ง ซึ่งผมมองว่าสิ่งที่เราพยายามเล่นกับโซเชียลซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าถึงผู้คนมากที่สุดในปัจจุบันอยู่แล้ว ซึ่งมองวันนี้ก็ยังพอมีเวลาที่จะไปให้ถึง”
ผู้บริหารหนุ่มมาดเท่พูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั่น